วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

เหนือกาลเวลา



นักเรียนหญิงคนหนึ่งจากสถาบันเก่าที่ผมเคยสอนหนังสืออยู่นานนับหลายปี ได้ส่งซีดีอาร์ (CD-R) แผ่นหนึ่งผ่านช่องทางไปรษณีย์มาให้ผมถึงที่ทำงานใหม่ เมื่อวานให้เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยเปิดดู ถึงได้รู้ว่าภายในซีดีแผ่นนั้นไม่มีภาพใดๆ ปรากฏ มีให้ได้ยินเพียงแค่เพลงชื่อเพลงเดียวแต่มีซ้ำหลายเพลงเปิดวนซ้ำไปมาเท่านั้น

ฟังไปฟังมาก็รู้สึกแปลกๆ ดี เพราะเป็นแนวที่ผมไม่คุ้น และวงดนตรีที่ขับร้องก็ไม่ได้เป็นวงดนตรีในดวงใจสักเท่าไรนัก

ในใจคิดเพียงว่านักศึกษาเก่าของผมอาจตั้งใจส่งข้อมูลภาพหรือกิจกรรมเชิญชวนใดๆ มาให้ผม แต่เธออาจส่งผิด ซ้ำยังคิดไปว่าข้อมูลเพลงที่ส่งมาให้นั้นน่าจะเป็นข้อมูลเพลงที่ผิดพลาด แท้จริงเธออาจไม่ได้ต้องการมันแล้ว เพียงแต่จัดใส่ซองผิด ก็เลยส่งมาให้ผมแบบเลยตามเลย

เพราะจะมีเหตุผลอะไรที่จะส่งเพลงมาให้ผมฟังเพียงเพลงเดียว ซ้ำเพลงเดียวเพลงนั้นยังถูกก๊อปปี้ซ้ำกระจายออกเป็นหลายเพลงเปลืองเนื้อที่เก็บข้อมูลภายในซีดี แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเป็นเพลงเพลงเดียว

หากจงใจให้ฟังจริง คงต้องส่งมาหลายๆ เพลง ผมคิด

จริงๆ ผมมีเบอร์โทรศัพท์ของนักศึกษาสาวคนนี้อยู่ในมือ แต่ผมเลือกที่จะไม่ติดต่อกลับไปหาเธอก่อน เกรงว่าอาจจะดูไม่เหมาะ บวกกำลังต้องการเช็คอะไรบางอย่าง ว่าที่จริงแล้วเพลงที่ส่งมานั้นเป็นการจงใจส่งโดยตรงมาจากเธอเลยหรือไม่ หรือเป็นเพียงการกลั่นแกล้งของเพื่อน โดยใส่ชื่อเธอเป็นผู้จัดส่ง หรือเธอเรียนหนักเกินไปจนเพี้ยนไปเสียแล้ว หรืออาจมีเหตุผลอะไรมากกว่านี้ คงต้องรอให้เธอเป็นผู้เฉลยปุจฉานี้ด้วยตัวเอง

ผมคิดไปต่างนานา เพราะที่ผ่านมานั้นลูกเล่นในการอำกันเองของเด็กศิลป์ช่างมีมากมายเหลือเกิน ที่สำคัญ ผมก็เป็นอดีตเด็กศิลป์ รู้ไส้รู้พุงเป็นอย่างดี จึงต้องขอระมัดระวังตัวไว้ก่อน

ผมก็ได้เพียงแต่รอ รอแบบไม่ได้ตั้งใจรอ รอแบบลืมๆ

ผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์ ก็ยังไม่มีท่าทีติดต่อใดๆ จากนักศึกษาหญิงคนเดิม คนที่ส่งเพลงมาให้ แต่ผมก็ยังเปิดฟังมัน

ฟังแบบไม่ได้ตั้งใจฟัง


เวลาที่เราห่างแสนไกลแต่ใจกลับเหมือนเป็นดั่งเมื่อวานทุกครั้งที่มีรอยยิ้ม ทุกครั้งที่มีปัญหาทุกช่วงเวลายังจดจำ เก็บมันเอาไว้ข้างใน
เรื่องราวไม่ว่านานเท่าไรไม่เคยเลือนหายไปจากใจเราไม่ว่าจะมีรอยยิ้ม ไม่ว่าจะมีน้ำตามันคงจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เรามีกันและกัน
* โปรดเธอ โปรดจงหลับตาให้เธอนึกถึงช่วงเวลาที่เรามีเสียงหัวเราะและความเข้าใจทุกๆครั้งที่เธอเศร้าใจ
หากเธอลองหลับตาเธอก็คงจะเห็นเหมือนกันวันที่เธอกับฉัน ได้ผูกพันช่วงอ่อนหวานและสวยงามเวลายังไม่เคยรั้งรอ
โปรดเธออย่าท้อ เมื่อห่างกันไกลทุกครั้งที่ฟังเพลงนี้ ให้รู้ว่ามีความหมายแทนคำว่ารัก คำสุดท้ายที่ทำให้เรามีกันและกัน
ซ้ำ ( * )
** หากเธอลองหลับตาเธอก็คงจะเห็นเหมือนกันวันที่เธอกับฉัน ได้ผูกพันช่วงอ่อนหวาน…
ความรักของเรา แม้ว่ามันจะนานจะพบทั้งทุกข์และสุขทุกๆ วันที่ผ่าน ยังมีรอยยิ้มทุกครั้งที่เธอเหนื่อยล้า มีกันเสมอมา
คืนและวันช่างอ่อนหวาน ยังจำในใจฉันมีเพียงสองเรากับความรักที่งดงาม
ซ้ำ ( ** )
อยากให้เธอคลายเหงาเธอจงลองฟังเสียงหัวใจวันที่เธอและฉันได้บอกรักสำหรับฉันช่างสวยงาม ฮูว์…





ไม่นาน นักศึกษาสาวคนนี้ก็ติดต่อกลับมา เธอถามว่าได้รับซีดีเพลงหรือยัง ผมบอกว่าได้รับนานแล้ว และถามเธอกลับว่าส่งอะไรมาให้ผม หยิบซีดีผิดแผ่นหรือเปล่า และทำไมถึงทิ้งช่วงการติดต่อกลับนานขนาดนี้

เธอยืนยันว่าแผ่นซีดีที่ส่งมาให้ผมนั้นเป็นความตั้งใจ และยังให้เหตุผลอยู่สามสี่ข้อที่น่าสนใจ

หนึ่ง-ที่เธอตั้งใจส่งมาให้ฟังเพลงเดียวนั้น เพราะเธอต้องการให้ผมฟังเพียงเพลงเดียว และที่ส่งเพลงเดียวแต่ก๊อปปี้ซ้ำเป็นหลายเพลงก็เพราะเธออยากให้ผมฟังแบบ ‘เรื่อยๆ’ โดยไม่ต้องมีเพลงอื่นมาแย่งความสำคัญในการฟังไป ปล่อยให้บทเพลงไหลไปเรื่อยๆ ตามช่องประสาทหู โดยไม่ต้องเอื้อมมือออกแรงไปเปิดใหม่ สอง-เธอไม่กล้าโทรหาผม เพราะตั้งแต่ผมจากมาจากสถาบันเก่า เธอก็เริ่มรู้สึกว่าผมเป็นคนไกล คงไม่สนิทสนมกับเธอและเพื่อนๆ เหมือนเดิม สาม-เหตุผลที่เธอติดต่อกลับล่าช้า ก็เพราะเธอต้องการให้ผมฟังเพลงอย่างซึมลึก ค่อยๆ ใช้เวลาละเมียดละไมในการฟัง ที่สำคัญ เธอต้องการให้ผมเกิดความสงสัยและนึกถึงเธอ สี่-ช่องทางในการติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์เป็นเรื่องอันตราย เพราะได้ยินเพียงแค่เสียง ไม่เห็นสีหน้า ไม่เห็นท่าทาง ไม่รู้อารมณ์ของผู้สนทนา ดังนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆ เธอจะไม่ขอใช้บริการสัญญาณโทรศัพท์

ทั้งหมดเป็นเหตุผลของสาวน้อยผู้มีปลายสายอยู่ในต่างจังหวัด

หากกรุงเทพมหานครเป็นดั่งจังหวัดที่ไม่ต่าง เป็นศูนย์รวมของความเป็นกลาง จังหวัดที่เธออาศัยอยู่ก็สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็นต่างจังหวัด

ผมถามเธอว่าทำไมถึงคาดว่าผมน่าจะฟัง ไม่คิดบ้างหรือว่าเพลงเพลงเดียวเช่นนี้ ผมจะเปิดฟังครั้งเดียวแล้วโยนลงถังขยะ

เธอบอกว่าเธอมั่นใจว่าผมต้องฟัง และเชื่อว่าผมต้องฟังซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งน่าสงสัยมาก ผมก็ยิ่งต้องหาวิธีขจัดความสงสัยภายในใจให้ได้ เธอเชื่ออย่างนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นผลงานของลูกศิษย์แล้ว ผมไม่มีวันทิ้งๆ ขว้างๆ อย่างแน่นอน เธอย้ำจากปลายสาย เล่นเอาผมอมยิ้ม

แต่ก็เป็นอย่างที่เธอบอก เธอไม่รู้อารมณ์ของผม เพราะได้ยินแค่เสียง

นักศึกษาสาวเจ้าของแผ่นซีดีเพลงเดียวถามผมซ้ำว่าผมได้ฟังเพลงหรือยัง ผมบอกว่าฟังแล้ว เธอถามกลับว่าเป็นยังไงบ้าง

“เพราะดี...” ผมตอบ

“...มีอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงส่งเพลงนี้มาให้ครู มันเป็นเพลงที่วัยรุ่นเขาฟังกันนี่นา?” ผมพูดราวกับตัวเองเป็นชายวัยใกล้เกษียณ ทั้งที่จริงเพลงของวงดนตรีวัยรุ่นหลายเพลงผมเองก็ฟังอยู่ เพราะเห็นว่าไพเราะดี จังหวะโอเค ดนตรีเหมาะสม เนื้อหาเข้าท่า แต่ด้วยอาชีพครูค้ำคอ จึงต้องขอมีมาดปกปิดซ่อนเร้นความเป็นปุถุชนไว้นิด เผยตัวจริงมากไม่ได้ เกรงจะเสียภาพ

“ครูอย่าคิดมากนะคะ เนื้อเพลงเป็นแบบวัยรุ่นคิดถึงกันก็จริง แต่หนูไม่ได้คิดไปทางชู้สาว หนูกับเพื่อนๆ คิดถึงครู และเพลงที่ส่งไปให้ครูก็เป็นเพลงที่พวกเราคัดเลือกแล้วว่าเพลงนี้เหมาะที่จะให้ครู” เธอตอบ “อยากหยุดเวลาไว้ช่วงที่ครูสอนจัง”

คำพูดของเธอเล่นเอาผมน้ำตาซึม แต่ด้วยมีสัญญาณโทรศัพท์มาเป็นตัวช่วยในการปกปิดความลับทางสีหน้า เธอจึงไม่รู้ว่าผมกำลังรู้สึกอย่างไร

ผมเคยได้ยินหลายคนพูดยามคิดถึงใครสักคน (หรือหลายคน) ว่าหากเป็นไปได้อยาก ‘ย้อนเวลา’ กลับไป แค่นั้นก็ทำเอาคนอ่อนไหวอย่างผมซึ้งมากพอแล้ว แต่นี่... ผมได้ยินนักศึกษาของผมพูดกับผมในเรื่องของผม และพวกเขาอยาก ‘หยุดเวลา’ ไว้ที่ที่ผมเคยสอนอยู่ เล่นเอาผมอึ้งพูดไม่ออกไปหลายนาที

‘ย้อนเวลา’ กับ ‘หยุดเวลา’ ความหมายมันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ผมคงคิดมากไป นักศึกษาอาจพูดออกมาโดยไม่ได้คิดลึกขนาดนั้น ผมพยายามคิดแบบไม่เข้าข้างตัวเอง

“หลายครั้งที่ครูอยู่ ไม่ว่าเรื่องราวจะยากเย็นขนาดไหน แต่พวกหนูมั่นใจ เราต้องทำได้แน่” เธอพูดตอกย้ำความรู้สึก

ในอดีต สมัยที่ยังสอนที่สถาบันเก่า มีหลายครั้งหลายหนที่ผมคิดจะทำอะไรหลายอย่างเพื่อให้นักศึกษาได้รับประโยชน์สูงสุด แต่ด้วยระบบในระเบียบราชการไม่เอื้ออำนวยและไม่มีใครคอยอำนวยความสะดวกให้ ผมจึงเลือกที่จะไม่รั้งรอระบบราชการ แต่เลือกที่จะกระทำทันทีโดยไม่ต้องมีการอนุมัติคำสั่ง

อาจดูไม่ถูกใจในสายตาผู้บังคับบัญชา แต่ผมคิดว่ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาเพื่อนมนุษย์

แต่ผมโชคดี ที่ในอดีตผมมีหัวหน้าที่ดี เข้าใจในอุดมการณ์ เพราะท่านก็เป็นหนึ่งในผู้มากอุดมการณ์

เช่น ครั้งหนึ่งสถาบันสอนศิลปะชั้นนำระดับประเทศได้จัดส่งเอกสารการเปิดรับสมัครนักศึกษาระบบโควตามาให้ที่สถาบันที่ผมสังกัด ระบบการรับสมัครนี้นักศึกษาสามารถเข้าศึกษาได้ทันทีโดยไม่ต้องสอบข้อเขียน ขอเพียงมีแฟ้มสะสมผลงาน สัมภาษณ์นิดหน่อย และเน้นย้ำให้ครูที่ปรึกษาหรือหัวหน้าสถาบันเซ็นยืนยันการันตีแนบไปด้วยว่านักศึกษาคนนี้เก่งจริง ดีจริง มีความรู้จริง ฯลฯ

แต่ที่แย่คือ บุคลากรในระบบประชาสัมพันธ์ที่สถาบันเก่าของผมทำงานไม่ค่อยเป็นทีมนัก มารู้ข้อมูลอีกทีก็ปาเอาสองวันสุดท้ายก่อนปิดรับสมัคร เล่นเอานักศึกษารวมถึงคณาจารย์ในแผนกหลายคนใจหายใจคว่ำตามกันไปหมด

หลายคนถอดใจ เสียใจก็มี ร้องไห้ก็เยอะ เพราะดูยังไงก็ไม่มีทางทันการณ์แน่

ไหนจะต้องรวบรวมแฟ้มสะสมผลงาน ไหนจะต้องรอให้ผู้อำนวยการเซ็นกำกับ ไหนจะต้องติวเพิ่มเติมความรู้กันอีก ที่สำคัญ ภายในระยะเวลาแค่นี้บุรุษไปรษณีย์จัดส่งให้ไม่ทันแน่นอน

สองวัน! ยังไงก็ไม่ทัน หลายคนว่าอย่างนั้น

ผมเองก็คิดว่าไม่ทัน แต่ที่คิดต่างจากคนอื่น ผมเห็นว่าถ้าเรามัวคิดว่าไม่ทันมันก็คงไม่ทันจริงๆ ตามสูตรตายตัว แต่ถ้าเราเร่งมือหน่อย ไม่แน่อาจจะทันก็ได้

ถ้าสุดท้ายไม่ทันจริงก็ถือว่าเป็นไปตามที่คิด แต่ถ้าท้ายที่สุดเกิดทันการณ์ขึ้นมา ก็ถือเป็นรางวัลชีวิต (ของนักศึกษา)

ผมพยายามคิดเผื่อใจไว้ แต่ไม่มีวันนั่งๆ นอนๆ รอการลงโทษจากโชคชะตา

ที่สุดแล้ว ผมแก้ปัญหาด้วยการเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้รองผู้อำนวยการฟังและขอร้องให้ท่านเซ็นชื่อแทนให้โดยไม่ได้จัดแนบแฟ้มตามระเบียบขั้นตอน เนื่องจากผู้อำนวยการติดราชการด่วน, ติวเข้มให้นักศึกษาด้วยตัวเอง, ร่วมจัดแฟ้มสะสมผลงานให้กับนักศึกษา และขับรถส่วนตัวเข้ากรุงเทพฯ ด้วยตัวเองเพื่อนำพานักศึกษาทั้งหมดไปสมัครเข้าศึกษาในระบบโควตา โดยทั้งหมดใช้ทุนส่วนตัวล้วนๆ

หลังประกาศผล นักศึกษาของผมหลายคนได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในสถาบันที่พวกเข้าคาดฝันไว้ อาจมีบ้างที่บางคนหลุดจากฝัน ต้องกลับไปศึกษาต่อ ณ สถาบันบ้านเกิด หรือบางคนอาจขอหยุดเรียนเพื่อทำงานเก็บทุนก่อน แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวมันๆ ที่นักศึกษาหลายคนยังจำได้

ฯลฯ

นี่คงเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ในใจที่ผลักดันให้กลุ่มนักศึกษาที่ไม่มีโอกาสขึ้นมาศึกษาต่อในเมืองหลวงเลือกที่จะส่งเพลงมาให้ผมฟัง

“ทุกครั้งที่มีครู ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร พวกเราเชื่อว่ามันจะผ่านไปได้ (ครับ/ค่ะ) ...” เสียงนักศึกษาหลายคนตะโกนพร้อมเพรียงเข้าหูโทรศัพท์แทรกเสียงของเด็กสาว

ผมกำลังน้ำตาไหล แต่พยายามสะกดความรู้สึกไว้เพื่อไม่ให้บุคคลปลายสายรู้สึกหวั่นไหวตาม

แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะเสียงที่สั่นเครือของเด็กสาว ทำให้ผมรู้ว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไร “...แล้วครูจะกลับมาสอนพวกเราอีกมั้ยคะ?...” อดีตนักศึกษาของผมเธอกำลังร้องไห้

“...ทุกอย่างที่ครูทำ และครูสอนให้พวกเราทำ ทุกวันนี้เรากำลังทำอยู่ค่ะ” เธอพูดไปร้องไห้ไป น้ำเสียงฟังไม่ค่อยชัด

สิ้นเสียงของเธอ ในแวบหนึ่งของความคิดทำให้ผมฉุกคิดได้ว่าสิ่งที่เธอและเพื่อนๆ กระทำ ไม่ว่าจะเป็นการสอนให้ตั้งใจฟังอย่างมีสมาธิ (การส่งเพลงมาให้ผมฟังเพียงเพลงเดียว), การทำอะไรซ้ำๆ เพื่อให้เข้าใจจริง ยิ่งเฉพาะถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจยาก (การก๊อปปี้เพลงเพลงเดียวซ้ำกระจายเป็นหลายๆ เพลง), การรู้จักเกรงใจคน การให้เกียรติคน โดยต้องมีเรื่องสำคัญจริงเท่านั้นจึงควรสื่อสารออกไป (ไม่ยกหูโทรศัพท์โทรหาผมทันที), การรู้จักทำอะไรด้วยความทุ่มเท ไม่เร่งรีบ ใส่ใจในสิ่งที่ทำ (การให้เวลาสำหรับผมในละเมียดละไมฟังเพลง), ความศรัทธา เชื่อมั่นในสิ่งลงมือกระทำลงไป (การที่เธอและเพื่อนๆ เชื่อว่าผมต้องฟังเพลงของเธอและฟังอย่างตั้งใจ), การสื่อสารที่ดีที่สุดก็คือการพบปะเจอตัว หากจำเป็นต้องโทรฯ ก็ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย (การที่เธอบอกว่าการติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์เป็นเรื่องอันตราย) ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมเคยสอนให้นักศึกษาทำเสมอมา เพียงแต่ผมหลงลืมและละเลยไป

คงจะจริงอย่างที่ใครเขาบอก ‘คนพูดอาจลืมคำพูดของตัวเอง แต่คนฟังจะจดจำชั่วชีวิต’

ผมขอบคุณที่เธอและเพื่อนๆ ยังมีน้ำจิตน้ำใจคิดถึงกัน และฝากเธอให้บอกเพื่อนๆ ด้วยว่าผมก็ยังคิดถึงพวกเขาเสมอ

“แต่ตอนนี้ครูต้องขอตัวไปสอนก่อนนะ มีสอนพอดี” ผมตัดบทว่ากำลังจะมีสอน นักศึกษาอีกกลุ่มกำลังรอเรียนอยู่ ทั้งที่จริงไม่มีใครรอ

สำหรับวันนี้ ผมเสร็จภารกิจการสอนแล้ว

จริงแล้วผมเกรงว่าหากเราสนทนากันต่อไป เขื่อนน้ำตาของผมจะพังทลายออกมา จะทำให้เธอและเพื่อนๆ ปลายสายรู้สึกแย่กว่าเดิมเข้าไปใหญ่ ผมจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายขอวางสายก่อน

ใจจริงรู้ว่าเธอและเพื่อนอาจรู้สึกแย่ ที่นานๆ จะมีโอกาสได้คุยกันสักที แต่ผมก็ขอจบบทสนทนาเอาดื้อๆ

เบื้องลึกในใจผมก็คิดถึงพวกเขาไม่น้อย และอยาก ‘หยุดเวลา’ ไว้ที่ตรงนั้นเหมือนกัน

ไม่อยากโต ไม่อยากแก่ ไม่อยากย้าย ไม่อยากเคลื่อนไหว อยากหยุดโลกไว้ที่ภาพความทรงจำตรงนั้น ตรงที่เคยประทับใจ

แต่โลกของความเป็นจริงในอาชีพครู สิ่งที่แน่นอนก็คือต้องพบเจอกับผู้เรียนหน้าใหม่ๆ หมุนวนแวะเวียนเข้ามาอยู่เรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ ดังนั้นหากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่ใดที่หนึ่งโดยไม่เคลื่อนไหว ก็ดูจะเห็นแก่ตัวจนเกินไป

ผมคิดถึงวันเวลาเก่าๆ ได้แต่กักเก็บไว้ให้อยู่ในความทรงจำ เหนือจิตใต้สำนึก

หลายเหตุการณ์ที่ทำเป็นลืม จริงๆ แล้วผมจำได้หมด แต่ด้วยวิชาชีพครู เลยต้องทำตัวเหนือกาลเวลา ทำเป็นลืมบางเรื่องไปเสียบ้าง

แท้จริงยังมี ‘ความลับ’ เรื่องหนึ่งที่ผมยังไม่ได้บอกกับนักศึกษา และคิดว่าคงไม่บอก หากเธอจะรู้ ก็ขอให้ได้เรียนรู้จากบทความชิ้นนี้ก็แล้วกัน

หลังจากที่เด็กสาวส่งเพลงนี้มาให้ฟัง ทั้งๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นความผิดพลาดมากกว่าความตั้งใจ แต่ผมก็ฟัง ฟังมันซ้ำไปซ้ำมา

ก่อนนอนก็ฟัง ขับรถก็ฟัง เดินถนนก็ฟัง เขียนรูปก็ฟัง สอนหนังสือก็ (แอบ) ฟัง ว่างจากสอนก็ฟัง พิมพ์รายงานก็ฟัง ก่อนนอนก็ยังฟัง ฯลฯ ฟังจนนักศึกษาปัจจุบันถามว่าผมชอบเพลงนี้หรือ ผมได้แต่อมยิ้มเป็นปริศนา เพราะก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองเริ่มชอบหรือยัง

ผมฟังไปเรื่อย ฟังจนเริ่มรู้จุดประสงค์ของการที่หญิงสาวส่งเพลงนี้มาให้แล้ว เพราะเนื้อเพลงมันช่างตรงกับชีวิตการสอนหนังสือของผมในอดีตเหลือเกิน ฟังไปฟังมาก็รู้สึกซึ้งจนน้ำตาซึม แต่ก็พยายามทำเป็นไม่รู้อะไร

หลังฟังเพลง ผมไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองรู้สึกซึ้งนั้นเป็นเพราะ ‘เพลง’ หรือเป็นเพราะ ‘เรื่องราวในอดีตของตัวเองที่ตรงกับเนื้อหาในเพลง’ กันแน่ ก็เลยขอร้องให้เพื่อนครูที่ไม่ได้สอนศิลปะและไม่มีประสบการณ์ทางการสอนมากนักช่วยลองฟังดู แล้วช่วยพิจารณาบรรยายความรู้สึกให้ฟังหน่อย

“เฉยๆ ครับ ออกแนวไร้สาระมากกว่า...” เพื่อนครูให้ความเห็นกลั้วเสียงหัวเราะ “พี่ชอบเพลงแบบนี้เหรอ ผมไม่รู้มาก่อนเลย?”

ในตอนนั้นผมไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้แต่อมยิ้มตามสไตล์

เพื่อนครูทำให้ผมรู้ว่าแท้จริงผม ‘รู้สึก’ กับเนื้อหาที่ซ่อนอยู่ในเพลง มากกว่า ‘รู้สึก’ กับเพลง เพราะเนื้อหาในเพลงมันช่างเสียดแทงเรื่องราวในอดีตของตัวเองเหลือเกิน และมันให้ความรู้สึกบางอย่างกับผมเพียงคนเดียว

เพลงนี้ทำให้ผมรู้ว่าลูกศิษย์คิดอย่างไรกับผม แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอดีตกาลผ่านมาแล้วก็ตาม

หลังฟังซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ผมก็เริ่มเสาะถามนักศึกษารุ่นปัจจุบันว่าเพลงนี้ชื่อเพลงอะไร ใครเป็นคนขับร้อง เป็นวงดนตรีหรือเป็นนักร้องเดี่ยว อายุอานามของเพลงนี้มีมาช้านานขนาดไหน ฯลฯ และเหล่านักศึกษาก็ให้คำตอบได้ครบถ้วนเป็นอย่างดีราวกับผู้เชี่ยวชาญด้านงานเพลง

เพราะเพลงนี้เพลงเดียว ทำให้ผมต้องไหว้วานนักศึกษาช่วยหาเพลงทั้งหมดของกลุ่มวงดนตรีกลุ่มนี้มาให้ฟังหน่อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยสนใจ อาจเป็นเพราะเลยวัยที่จะฟังเพลงแนวนี้ไปแล้ว

ไม่นาน นักศึกษาศิลปะที่ผมสอนอยู่ในปัจจุบันก็หาเพลงทั้งหมดของนักร้องกลุ่มนี้มาให้อย่างครบถ้วน ทั้งเพลงเก่าเพลงใหม่ อัลบั้มเก่าอัลบั้มใหม่ ไม่มีขาดตกบกพร่อง

ผมลองให้เวลากับการฟังครบทุกเพลงทุกอัลบั้ม และก็พบว่าเพราะทุกเพลง

แต่ผมก็ยังติดใจเพลงนี้อยู่เพลงเดียว

ทุกวันนี้ผมก็ยังฟังเพลงนี้อยู่ ผมกลายเป็นคนติดเพลงนี้ไปแล้ว ฟังทีไรร่างกายต้องหยุดการเคลื่อนไหวกะทันหัน

เพลงที่ไม่สนใจเรื่องการ ‘หยุดเวลา’ หรือ ‘ย้อนเวลา’

เหนือกาลเวลา*






*เพลง “เหนือกาลเวลา” ขับร้องโดยกลุ่มศิลปินวง Slot Machine (สล็อต แมชชีน) อัลบั้ม: Grey เป็นกลุ่มศิลปินโมเดิร์นร็อคที่มีน้ำเสียงและแนวการขับร้องเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง จุดเริ่มต้นของวงเริ่มจาก เฟิร์ส (ศริส หอมหวน-ร้องนำ) และ แก๊ก (อธิราช ปิ่นทอง-เบส) สองเพื่อนนักเรียนมัธยมจากโรงเรียนสาธิตศิลปากรที่ร่วมกับเพื่อนอีก ๒ คน เริ่มฉายแววความสามารถด้วยการคว้ารางวัลจากการประกวดดนตรี ‘ฮอตเวฟ มิวสิค อะวอร์ด ครั้งที่ ๖ ในอันดับที่ ๑’ เดิมชื่อวง “อะลุ้มอะหล่วย” ซึ่งช่วงหลังมาเปลี่ยนเป็นวง Slot Machine ที่หมายถึงการพนัน การเสี่ยงโชค แต่ในความหมายของพวกเขานั้นหมายถึงความท้าทายในงานดนตรีที่พวกเขารัก